
การดูแลตัวเองหลังร้อยไหม
1.เวลานอนให้นอนหงาย ห้ามนอนคว่ำหรือนอนตะแคงให้ใบหน้าถูกับหมอนเพราะอาจทำให้รู้สึกเจ็บได้
2.หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้าบริเวณที่ร้อยไหม 2 – 3 วัน และควรสัมผัสหน้าเบาๆในช่วง 1 สัปดาห์แรก
3.ภายใน 2 สัปดาห์แรก ห้ามทำเลเซอร์ ทรีตเม้นต์ นวดหน้า หลีกเลี่ยงการโดน ความร้อน รวมทั้งว่ายน้ำและการทำโยคะ เพื่อป้องกันบาดแผลติดเชื้อ
4.การร้อยไหมจะเห็นผลชัดเจนหลังจากทำประมาณ 6 เดือน หากในช่วงแรกยังเห็นผลลัพธ์ไม่ชัดเจน อย่าเพิ่งรีบไปทำศัลยกรรมอย่างอื่นซ้ำ ควรรอให้เห็นผลลัพธ์ของการร้อยไหมให้ชัดเจนก่อน
5.ไม่ต้องตกใจ อาจมีปุ่มนูนเล็กๆ หรือรอยบุ๋มที่เกิดจากไหมที่ร้อยอยู่ชิดผิวหนังเกินไป เป็นอาการปกติ ประมาณ1เดือน จะค่อยๆหายไปเองตามการละลายของไหม
การดูแลตัวเองหลังฉีด Botox
1.หลังฉีดทันที ไม่ควรจับ ลูบคลำ หรือนวด บริเวณที่ฉีด เพราะอาจมีผลต่อการกระจายตัวของตัวยา
2.ภายใน 4 ชั่วโมงแรกหลังการฉีดไม่ควรนอนราบหรือนอนตะแคง เพราะในช่วงนี้โบท็อกกำลังเข้าสู่กล้ามเนื้อ การนอนตะแคงอาจทำให้ตัวยาผิดจากตำแหน่งที่แพทย์กำหนดเอาไว้
3.บริหารกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีคบ่อยๆ ในช่วงครึ่งชั่วโมงแรกหลังการฉีด เช่น ยิ้มบ่อยๆ ยักคิ้วบ่อยๆ หรือเคี้ยวหมากฝรั่ง
4.2 สัปดาห์แรก งคอบไอน้ำ ซาวน่า ยิงเลเซอร์ ทำ RF หรือ IONTO ที่หน้า เพราะความร้อนเฉพาะจดเป็นเวลานานอาจส่งผลต่อโบท็อกได้ ส่วน TREATMENT สามารถทำได้หลังจากฉีดโบท็อก 1 สัปดาห์
ฉีดโบท็อกเห็นผลเมื่อไร?
– กล้ามเนื้อมัดเล็ก >> หน้าผาก, หางตา, หว่างคิ้ว รอยาออกฤทธิ์ 3 – 7 วัน
– กล้ามเนื้อมัดใหญ่ >> กราม, น่อง รอยาออกฤทธิ์ 2 – 4 สัปดาห์
การดูแลตัวเองหลังฉีด Filler
1.หลังฉีดทันทีไม่ควรจับ ลูบคลำ นวด หรือปั่นเองในบริเวณที่ฉีด เพราะอาจทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนเปลี่ยนตำแหน่งไป
2.งดการนอนราบหลังการฉีดฟิลเลอร์ 3-4 ชั่วโมง
3.48 ชั่วโมงแรกไม่ควรออกกำลังกายให้เหงื่อออกมาก หรือไปตากแคคร้อนเพราะอาจทำให้เกิดรอยแดงมากขึ้น
4.ใน 4 วันแรกหลังฉีดควรดื่มน้ำมากๆ ประมาณ 8-16 แก้ว เพราะฟิลเลอร์เป็นสารอุ้มน้ำ ทำให้ฟิลเลอร์อยู่ได้นานขึ้น
5.2 สัปดาห์แรก หลีกเลี่ยงการโดนความร้อนบนใบหน้า เลี้ยงการอาบน้ำอุ่นงดเข้าอบไอน้ำ งดอบซาวน่า งดทำเลเซอร์ งดทำRF หรือ IONTO
6.หลีกเสี่ยงการใช้สารที่มีส่วนผสมของ BHA, AHA และ RETINOID 2 สัปดาห์
7.สำหรับคนที่เติมฟิลเลอร์ปาก หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ การดูดจากหลอดดูดและการจูบ 2 วันหลังการฉีด
– ไม่ต้องตกใจหลังฉีดอาจคลำพบก้อนเล็กๆ แข็งเหมือนยางลบใต้ผิวหนังบริเวณที่ฉีด ซึ่งจะละลายตัวนิ่มเป็นเนื้อเดียวกันเองภายใน 1 – 2 เดือน
เคล็ดลับลดบวมลดช้ำ
1.งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 2 วันแรก เนื่องจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทำให้ยุบบวมช้าลง
2.งดทานยาหรือวิตามินที่ทำให้เลือดหยุดไหลช้า เช่น แอสไพริน, VITAMIN E, ใบแป๊ะก๊วย
3.คนที่รับประทานยาละลายลิ่มเลือด ASPIRIN หรือ วิตามิน E และอาหารเสริมบางชนิด เช่น FISH OIL, PRIMROSE อาจเกิดรอยแดงจากการฉีดโบท็อกและฟิลเลอร์ ซึ่งจะหายไปเองภายใน 2 – 3 วันและอาจเกิดรอยเชียวช้ำ ซึ่งรอยเขียวช้ำจะค่อยๆ จางลงเองภายใน 1 สัปดาห์ ช่วงแรกสามารถทาแป้ง CONCEALER หรือรองพื้นปกปิดบริเวณที่เขียวช้ำไว้ก่อนได้
4.ใช้การประคบเย็นลดบวมหลังการทำหัตถการช่วงแรกๆ และใช้การประคบร้อนบรรเทาอาการอักเสบหลังจากที่อาการบวมยุบลงแล้ว (ยกเว้นบริเวณที่ฉีดโบท็อก)
การดูแลตัวเองหลังทำ Hifu
1.หลีกเลี่ยงการออกแดดจัดเป็นเวลา 1-2 สัปดาห์ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกทำลายของคอลลาเจนที่เกิดขึ้นและกำลังฟื้นฟู ควรทาครีมกันแดดที่มีค่าป้องกันที่สูง SPF 30 ขึ้นไป ทุกครั้งที่ออกแดด
2.งดสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะสารพิษเหล่านี้จะขัดขวางการสร้างคอลลาเจนใหม่
3.ดื่มน้ำให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อช่วยในการขับของเสียออกจากร่างกาย
4.พักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 7-8 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟูอย่างเต็มที่
5.ทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ โปรตีน ที่ช่วยในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย
6.หลีกเลี่ยงการกด บีบ หรือขัดถูบริเวณใบหน้าอย่างรุนแรง
7.หลีกเลี่ยงการอาบน้ำร้อนจัด
8.สามารถใช้ครีมบำรุงผิวได้ตามปกติ แต่ควรหลีกเลี่ยงครีมที่มีส่วนผสมของกรดหรือสารระคายเคือง
– อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังทำเลเซอร์ Hifu เช่น หน้าบวม แดง ปวดบริเวณที่ทำ อาการเหล่านี้จะค่อยๆ หายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์ หากมีอาการผิดปกติใดๆ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
การดูแลตัวเองหลังทำเลเซอร์กำจัดขน
1.สำหรับใต้วงแขนให้งดทาโรลออนหลังทำเลเซอร์กำจัดขน 3 – 5 วัน เนื่องจากอาจจะเกิดการระคายเคืองได้
2.งดทาครีมที่มีส่วนผสมของ AHA, BHA หรือ สารที่มีฤทธิ์ผลัดเซลล์ผิว –หลังทำเลเซอร์กำจัดขน 3 – 5 วัน
3.หลีกเลี่ยงการโดนแดดจัด บริเวณที่กำจัดขน หรือ ทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ
4.งดถอน งด Wax สามารถโกนขนได้หากมีขนขึ้น
5.ในบางครั้งแพทย์อาจจะจ่ายยาลดการระคายเคืองให้ทา 3 – 7 วัน หลังทำเลเซอร์
6.ทาครีมบำรุงเพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิวหลังทำเลเซอร์กำจัดขน เนื่องจากเลเซอร์อาจจะทำให้ผิวแห้งขึ้นเล็กน้อย
วิธีดูแลตัวเองหลังทำ Yellow 577 Laser
เนื่องจากเป็นเลเซอร์ที่อ่อนโยนและมีความปลอดภัยสูงจึงมีวิธีการดูแลตัวเองที่ไม่ยุ่งยากและซับซ้อนดังนี้
1.หลังการทำเลเซอร์อาจมีอาการผิวแห้งลอกได้ โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์แรก
2.แนะนำให้ทาครีมบำรุงสูตรอ่อนโยนที่ให้ความชุ่มชื้นกับผิว
3.ทาครีมกันแดดที่มี SPF 30 PA+++ ขึ้นไปทุกครั้งก่อนออกจากบ้าน เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวหมองคล้ำจากแสงแดด
4.ประคบเย็นหลังการทำเลเซอร์หากรู้สึกระคายเคืองหรือแสบร้อน
5.งดการสัมผัสใบหน้าแรง ๆ หรือขัดผิวเพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้
6.หลีกเลี่ยงการออกแดด หรือการทำกิจกรรมที่เกิดความร้อนกับผิว เช่น สตรีม ซาวด์น่า หลังทำเลเซอร์อย่างน้อย 7 วัน
7.งดการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ กรด AHA หรือสาร whitening กับผิวอย่างน้อย 1 เดือน
วิธีการดูแลตัวเองหลังทำ Ultraformer III
1.หลีกเลี่ยงการออกแดดจัดเป็นเวลา 1-2 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการถูกทำลายของคอลลาเจนใหม่ที่กำลังฟื้นฟู ควรทาครีมกันแดดที่มีค่าป้องกันสูง SPF 30 ขึ้นไป ทุกครั้งที่ออกแดด
2.งดสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะสารพิษเหล่านี้จะขัดขวางการสร้างคอลลาเจนใหม่
3.ดื่มน้ำให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อช่วยในการขับของเสียออกจากร่างกาย
4.พักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 7-8 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟูอย่างเต็มที่
5.ทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ โปรตีน ที่ช่วยในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย
6.หลีกเลี่ยงการกด บีบ หรือขัดถูบริเวณใบหน้าอย่างรุนแรง
7.หลีกเลี่ยงการอาบน้ำร้อนจัด
8.สามารถใช้ครีมบำรุงผิวได้ตามปกติ แต่ควรหลีกเลี่ยงครีมที่มีส่วนผสมของกรดหรือสารระคายเคือง
อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
– หน้าบวม แดง ปวดบริเวณที่ทำ อาการเหล่านี้จะค่อยๆ หายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์ หากมีอาการผิดปกติใดๆ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
ข้อควรระวังเพิ่มเติม
ผู้ที่อยู่ระหว่างตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำ Ultraformer III
ผู้ที่มีอาการแพ้ยาหรือสารเคมี ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนทำ Ultraformer III
ผู้ที่มีปัญหาผิวอักเสบหรือติดเชื้อ ควรรักษาให้หายก่อนทำ Ultraformer III
ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกั
วิธีการดูแลตัวเองหลังทำ Thermage
1.หลีกเลี่ยงการออกแดดจัดเป็นเวลา 1-2 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการถูกทำลายของคอลลาเจนใหม่ที่กำลังฟื้นฟู ควรทาครีมกันแดดที่มีค่าป้องกันสูง SPF 30 ขึ้นไป ทุกครั้งที่ออกแดด
2.งดสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะสารพิษเหล่านี้จะขัดขวางการสร้างคอลลาเจนใหม่-
3.ดื่มน้ำให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อช่วยในการขับของเสียออกจากร่างกาย
4.พักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 7-8 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟูอย่างเต็มที่
5.ทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ โปรตีน ที่ช่วยในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย
6.หลีกเลี่ยงการกด บีบ หรือขัดถูบริเวณใบหน้าอย่างรุนแรง
7.หลีกเลี่ยงการอาบน้ำร้อนจัด
8.สามารถใช้ครีมบำรุงผิวได้ตามปกติ แต่ควรหลีกเลี่ยงครีมที่มีส่วนผสมของกรดหรือสารระคายเคือง
อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังทำ Thermage เช่น หน้าบวม แดง ปวดบริเวณที่ทำ อาการเหล่านี้จะค่อยๆ หายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์ หากมีอาการผิดปกติใดๆ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
ข้อควรระวังเพิ่มเติม
1.ผู้ที่อยู่ระหว่างตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำ Thermage
2.ผู้ที่มีอาการแพ้ยาหรือสารเคมี ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนทำ Thermage
3.ผู้ที่มีปัญหาผิวอักเสบหรือติดเชื้อ ควรรักษาให้หายก่อนทำ Thermage
4.ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบไหลเวียนโลหิต ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำ Thermage
Thermage เป็นเทคโนโลยียกกระชับผิวที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เพราะมีประสิทธิภาพในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ช่วยยกกระชับผิวหน้าและลำคอให้เรียบเนียน เต่งตึง โดยไม่ต้องผ่าตัด การดูแลตัวเองหลังทำ Thermage อย่างถูกวิธีจะช่วยให้ผลลัพธ์ที่ได้มีประสิทธิภาพและอยู่ได้นานยิ่งขึ้น
การดูแลตัวเองหลังฉีด Rejuran
1.ประคบเย็น บริเวณที่ฉีด ช่วยลดอาการบวม แดง คัน และปวด
2.ทายาแก้ปวด ตามคำแนะนำของแพทย์ หากมีอาการปวด
3.ดื่มน้ำให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อช่วยในการขับของเสียออกจากร่างกาย
4.พักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 7-8 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟูอย่างเต็มที่
5.หลีกเลี่ยงการออกแดดจัด เป็นเวลา 1-2 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการถูกทำลายของคอลลาเจนใหม่ ควรทาครีมกันแดดที่มีค่าป้องกันสูง SPF 30 ขึ้นไป ทุกครั้งที่ออกแดด
6.งดสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นเวลา 1-2 สัปดาห์ เพราะสารพิษเหล่านี้จะขัดขวางการสร้างคอลลาเจนใหม่
7.หลีกเลี่ยงการกด บีบ หรือขัดถูบริเวณที่ฉีด อย่างรุนแรง
8.หลีกเลี่ยงการอาบน้ำร้อนจัด
9.สามารถใช้ครีมบำรุงผิวได้ตามปกติ แต่ควรหลีกเลี่ยงครีมที่มีส่วนผสมของกรดหรือสารระคายเคือง
อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังฉีด Rejuran เช่น หน้าบวม แดง คัน และปวด อาการเหล่านี้จะค่อยๆ หายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์ หากมีอาการผิดปกติใดๆ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
ข้อควรระวังเพิ่มเติม
1.ผู้ที่อยู่ระหว่างตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำ Rejuran
2.ผู้ที่มีอาการแพ้ยาหรือสารเคมี ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนทำ Rejuran
3.ผู้ที่มีปัญหาผิวอักเสบหรือติดเชื้อ ควรรักษาให้หายก่อนทำ Rejuran
4.ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบไหลเวียนโลหิต ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำ Rejuran
Rejuran เป็นสารที่มีคุณสมบัติในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ช่วยฟื้นฟูผิวให้เรียบเนียน กระจ่างใส ชุ่มชื้น และยืดหยุ่น การดูแลตัวเองหลังฉีด Rejuran อย่างถูกวิธีจะช่วยให้ผลลัพธ์ที่ได้มีประสิทธิภาพและอยู่ได้นานยิ่งขึ้น
การดูแลตัวเองหลังฉีด Sculptra
1.ประคบเย็น บริเวณที่ฉีด ช่วยลดอาการบวม แดง คัน และปวด
2.ทายาแก้ปวด ตามคำแนะนำของแพทย์ หากมีอาการปวด
3.ดื่มน้ำให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อช่วยในการขับของเสียออกจากร่างกาย
4.พักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 7-8 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟูอย่างเต็มที่
5.หลีกเลี่ยงการออกแดดจัด เป็นเวลา 1-2 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการถูกทำลายของคอลลาเจนใหม่ ควรทาครีมกันแดดที่มีค่าป้องกันสูง SPF 30 ขึ้นไป ทุกครั้งที่ออกแดด
6.งดสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นเวลา 1-2 สัปดาห์ เพราะสารพิษเหล่านี้จะขัดขวางการสร้างคอลลาเจนใหม่
7.หลีกเลี่ยงการกด บีบ หรือขัดถูบริเวณที่ฉีด อย่างรุนแรง
8.หลีกเลี่ยงการอาบน้ำร้อนจัด
9.สามารถใช้ครีมบำรุงผิวได้ตามปกติ แต่ควรหลีกเลี่ยงครีมที่มีส่วนผสมของกรดหรือสารระคายเคือง
อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังฉีด Sculptra เช่น หน้าบวม แดง ปวดบริเวณที่ทำ อาการเหล่านี้จะค่อยๆ หายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์ หากมีอาการผิดปกติใดๆ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
ข้อควรระวังเพิ่มเติม
1.ผู้ที่อยู่ระหว่างตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำ Sculptra
2.ผู้ที่มีอาการแพ้ยาหรือสารเคมี ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนทำ Sculptra
3.ผู้ที่มีปัญหาผิวอักเสบหรือติดเชื้อ ควรรักษาให้หายก่อนทำ Sculptra
4.ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบไหลเวียนโลหิต ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำ Sculptra
Sculptra เป็นสารที่มีคุณสมบัติในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ช่วยยกกระชับผิวหน้าและลำคอให้เรียบเนียน เต่งตึง โดยไม่ต้องผ่าตัด การดูแลตัวเองหลังฉีด Sculptra อย่างถูกวิธีจะช่วยให้ผลลัพธ์ที่ได้มีประสิทธิภาพและอยู่ได้นานยิ่งขึ้น
คำแนะนำเพิ่มเติม
1.ผลลัพธ์จากการฉีด Sculptra จะค่อยๆ ปรากฏให้เห็นภายใน 2-3 เดือน และจะเห็นผลเต็มที่ภายใน 6 เดือน
2.อาจต้องทำการรักษาซ้ำ 2-3 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างระหว่างการรักษา 4-6 เดือน
3.ควรปรึกษาแพทย์ก่อนฉีด Sculptra เพื่อให้แพทย์ประเมินสภาพผิวและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม
การดูแลตัวเองหลังยิงเลเซอร์ Q-Switch
1.ประคบเย็น บริเวณที่ทำเลเซอร์ ช่วยลดอาการบวม แดง และปวด
2.ทายาแก้ปวด ตามคำแนะนำของแพทย์ หากมีอาการปวด
3.ดื่มน้ำให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อช่วยในการขับของเสียออกจากร่างกาย
4.พักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 7-8 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟูอย่างเต็มที่
5.หลีกเลี่ยงการออกแดดจัด เป็นเวลา 1-2 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการถูกทำลายของเซลล์ผิวใหม่ ควรทาครีมกันแดดที่มีค่าป้องกันสูง SPF 30 ขึ้นไป ทุกครั้งที่ออกแดด
6.งดสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นเวลา 1-2 สัปดาห์ เพราะสารพิษเหล่านี้จะขัดขวางการสร้างเซลล์ผิวใหม่
7.หลีกเลี่ยงการกด บีบ หรือขัดถูบริเวณที่ทำเลเซอร์ อย่างรุนแรง
8.หลีกเลี่ยงการอาบน้ำร้อนจัด
9.สามารถใช้ครีมบำรุงผิวได้ตามปกติ แต่ควรหลีกเลี่ยงครีมที่มีส่วนผสมของกรดหรือสารระคายเคือง
อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังยิงเลเซอร์ Q-Switch เช่น หน้าบวม แดง คัน และปวด อาการเหล่านี้จะค่อยๆ หายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์ หากมีอาการผิดปกติใดๆ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
ข้อควรระวังเพิ่มเติม
1.ผู้ที่อยู่ระหว่างตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำเลเซอร์ Q-Switch
2.ผู้ที่มีอาการแพ้ยาหรือสารเคมี ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนทำเลเซอร์ Q-Switch
3.ผู้ที่มีปัญหาผิวอักเสบหรือติดเชื้อ ควรรักษาให้หายก่อนทำเลเซอร์ Q-Switch
4.ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบไหลเวียนโลหิต ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำเลเซอร์ Q-Switch
เลเซอร์ Q-Switch เป็นเทคโนโลยีเลเซอร์ที่มีประสิทธิภาพในการกำจัดเม็ดสีที่ผิดปกติบนผิว เช่น ฝ้า กระ จุดด่างดำ รอยสัก เป็นต้น การดูแลตัวเองหลังยิงเลเซอร์ Q-Switch อย่างถูกวิธีจะช่วยให้ผลลัพธ์ที่ได้มีประสิทธิภาพและอยู่ได้นานยิ่งขึ้น
คำแนะนำเพิ่มเติม
– ผลลัพธ์จากการยิงเลเซอร์ Q-Switch จะค่อยๆ ปรากฏให้เห็นภายใน 1-2 สัปดาห์ และจะเห็นผลเต็มที่ภายใน 4-6 สัปดาห์
การดูแลตัวเองหลังฉีดเมโสหน้าใส
การฉีดเมโสหน้าใส เป็นหัตถการทางการแพทย์ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน เนื่องจากสามารถช่วยบำรุงผิวหน้าให้กระจ่างใส เรียบเนียน และกระชับขึ้น โดยการใช้สารประกอบต่างๆ เช่น วิตามิน กรดอะมิโน สารต้านอนุมูลอิสระ ฯลฯ ฉีดเข้าชั้นผิวหนังชั้นกลาง (Mesoderm)
1.ประคบเย็น บริเวณที่ฉีด ช่วยลดอาการบวม แดง และปวด
2.ทายาแก้ปวด ตามคำแนะนำของแพทย์ หากมีอาการปวด
3.ดื่มน้ำให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อช่วยในการขับของเสียออกจากร่างกาย
4.พักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 7-8 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟูอย่างเต็มที่
5.หลีกเลี่ยงการออกแดดจัด เป็นเวลา 1-2 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการถูกทำลายของสารบำรุงผิวใหม่ ควรทาครีมกันแดดที่มีค่าป้องกันสูง SPF 30 ขึ้นไป ทุกครั้งที่ออกแดด
6.งดสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นเวลา 1-2 สัปดาห์ เพราะสารพิษเหล่านี้จะขัดขวางการสร้างสารบำรุงผิวใหม่
7.หลีกเลี่ยงการกด บีบ หรือขัดถูบริเวณที่ฉีด อย่างรุนแรง
8.หลีกเลี่ยงการอาบน้ำร้อนจัด
9.สามารถใช้ครีมบำรุงผิวได้ตามปกติ แต่ควรหลีกเลี่ยงครีมที่มีส่วนผสมของกรดหรือสารระคายเคือง
อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังฉีดเมโสหน้าใส เช่น หน้าบวม แดง ปวดบริเวณที่ทำ อาการเหล่านี้จะค่อยๆ หายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์ หากมีอาการผิดปกติใดๆ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
ข้อควรระวังเพิ่มเติม
1.ผู้ที่อยู่ระหว่างตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำเมโสหน้าใส
2.ผู้ที่มีอาการแพ้ยาหรือสารเคมี ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนทำเมโสหน้าใส
3.ผู้ที่มีปัญหาผิวอักเสบหรือติดเชื้อ ควรรักษาให้หายก่อนทำเมโสหน้าใส
4.ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบไหลเวียนโลหิต ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำเมโสหน้าใส
เมโสหน้าใสเป็นหัตถการทางการแพทย์ที่ปลอดภัย แต่หากต้องการผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัย ควรเลือกคลินิกที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ และใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน
การดูแลตัวเองหลังดริป NAD+
1.ดื่มน้ำให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อช่วยในการดูดซึม NAD+ และขับของเสียออกจากร่างกาย
2.พักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 7-8 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟูอย่างเต็มที่
3.รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ โปรตีน ไขมันดี เพื่อช่วยในการเสริมสร้างเซลล์ใหม่
4.งดสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะสารพิษเหล่านี้จะขัดขวางการทำงานของ NAD+
5.หลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดจัด เป็นเวลา 1-2 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการถูกทำลายของเซลล์ใหม่ ควรทาครีมกันแดดที่มีค่าป้องกันสูง SPF 30 ขึ้นไป ทุกครั้งที่ออกแดด
อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังดริป NAD+ เช่น หน้าแดง ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย อาการเหล่านี้จะค่อยๆ หายไปเองภายใน 1-2 วัน หากมีอาการผิดปกติใดๆ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
ข้อควรระวังเพิ่มเติม
1.ผู้ที่อยู่ระหว่างตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำดริป NAD+
2.ผู้ที่มีอาการแพ้ยาหรือสารเคมี ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนทำดริป NAD+
3.ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบไหลเวียนโลหิต ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำดริป NAD+
ดริป NAD+ เป็นหัตถการทางการแพทย์ที่ปลอดภัย แต่หากต้องการผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัย ควรเลือกคลินิกที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ และใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน
คำแนะนำเพิ่มเติม
1.ผลลัพธ์จากการดริป NAD+ จะค่อยๆ ปรากฏให้เห็นภายใน 1-2 สัปดาห์ และจะเห็นผลเต็มที่ภายใน 4-6 สัปดาห์
2.อาจต้องทำการรักษาซ้ำ 2-3 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างระหว่างการรักษา 4-6 เดือน
NAD+ เป็นสารตั้งต้นที่สำคัญในกระบวนการเผาผลาญพลังงานของเซลล์ ช่วยให้เซลล์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ร่างกายแข็งแรงและชะลอความเสื่อมของเซลล์ได้