
การเตรียมตัวก่อนผ่าตัดสำหรับเคสฉีดยาชา
1.งดวิตามินและอาหารเสริม 2 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด เนื่องจากอาหารเสริมบางตัวทำให้ระบบเลือดไหลเวียนดี อาจทำให้เลือดแข็งตัวช้า และทำให้หลังผ่าตัดจะมีอาการบวมมากกว่าปกติได้
2. งดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ 2 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด เนื่องจากแอลกอฮอล์หรือบุหรี่ทำให้แผลผ่าตัดหายช้า เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นแผลเป็นนูนและยังเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่ายอีกด้วย
3. งดรับประทานยาสเตียรอยด์ หรือยาลดกล้ามเนื้ออักเสบ ยากลุ่มแอสไพริน(Aspirin หรือ Ibuprofen) 2 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด เพื่อลดอาการบวมช้ำหลังผ่าตัด แต่ในกรณีที่จำเป็นต้องใช้ แนะนำให้ทานแค่ยาพาราเซตามอลเพื่อบรรเทาอาการปวดเท่านั้น (หากทานยาละลายลิ่มเลือดหรือยาโรคประจำตัวอยู่ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์)
4. ไม่ควรแต่งหน้า ทาเล็บมือหรือเล็บเท้ามาในวันผ่าตัด เนื่องจากหากฝุ่นผงจากเครื่องสำอางค์อาจตกลงไปในแผลได้ และระหว่างการผ่าตัดทีมแพทย์สามารถสังเกตอาการผิดปกติต่างๆจากริมฝีปาก หรือเล็บมือเล็บเท้าได้ หากแต่งหน้าหรือทาเล็บมาจะทำให้สังเกตอาการผิดปกติต่างๆได้ยากขึ้น
5. ไม่ควรใส่เครื่องประดับ หรือนำของมีค่ามาในวันผ่าตัด เนื่องจากในการผ่าตัดอาจมีการติดตั้งเครื่องมือทางการแพทย์บางประเภทที่ส่งผลให้โลหะทุกชนิดเกิดความร้อนและทำให้ผิวหนังไหม้ได้
6. ในกรณีเป็นไข้ มีอาการไอ เจ็บคอหรือท้องเสียให้แจ้งล่วงหน้าก่อนอย่างน้อย 2 วันก่อนทำหัตถการ เพราะหากร่างกายไม่แข็งแรงจะเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย
สวมเสื้อผ้าสบายๆหรือสวมเสื้อเชิ๊ตกระดุมหน้ามาในวันผ่าตัด เพื่อลดความเสี่ยงในการเสียดสีกับแผล และทำให้สามารถดูแลแผลหลังผ่าตัดได้สะดวก
7. สามารถทานอาหารได้แต่แนะนำให้เป็นอาหารอ่อน อย่างน้อย 2 ชั่วโมงก่อนผ่าตัด ไม่ทานอาหารรสจัดก่อนผ่าตัด และทานแต่พอดีไม่ทานเยอะ เพื่อหลีกเลี่ยงอาการอาเจียนหลังผ่าตัด
8. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอก่อนวันผ่าตัด
9. แนะนำให้มีผู้ติดตามมาด้วยในวันผ่าตัด
การเตรียมตัวก่อนผ่าตัดสำหรับเคสฉีดยานอนหลับ
1.งดวิตามินและอาหารเสริม 2 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด เนื่องจากอาหารเสริมบางตัวทำให้ระบบเลือดไหลเวียนดี อาจทำให้เลือดแข็งตัวช้า และทำให้หลังผ่าตัดจะมีอาการบวมมากกว่าปกติได้
2. งดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ 2 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด เนื่องจากแอลกอฮอล์หรือบุหรี่ทำให้แผลผ่าตัดหายช้า เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นแผลเป็นนูนและยังเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่ายอีกด้วย
3. งดรับประทานยาสเตียรอยด์ หรือยาลดกล้ามเนื้ออักเสบ ยากลุ่มแอสไพริน(Aspirin หรือ Ibuprofen) 2 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด เพื่อลดอาการบวมช้ำหลังผ่าตัด แต่ในกรณีที่จำเป็นต้องใช้ แนะนำให้ทานแค่ยาพาราเซตามอลเพื่อบรรเทาอาการปวดเท่านั้น (หากทานยาละลายลิ่มเลือดหรือยาโรคประจำตัวอยู่ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์)
4. ไม่ควรแต่งหน้า ทาเล็บมือหรือเล็บเท้ามาในวันผ่าตัด เนื่องจากหากฝุ่นผงจากเครื่องสำอางค์อาจตกลงไปในแผลได้ และระหว่างการผ่าตัดทีมแพทย์สามารถสังเกตอาการผิดปกติต่างๆจากริมฝีปาก หรือเล็บมือเล็บเท้าได้ หากแต่งหน้าหรือทาเล็บมาจะทำให้สังเกตอาการผิดปกติต่างๆได้ยากขึ้น
5. ไม่ควรใส่เครื่องประดับ หรือนำของมีค่ามาในวันผ่าตัด เนื่องจากในการผ่าตัดอาจมีการติดตั้งเครื่องมือทางการแพทย์บางประเภทที่ส่งผลให้โลหะทุกชนิดเกิดความร้อนและทำให้ผิวหนังไหม้ได้
6. ในกรณีเป็นไข้ มีอาการไอ เจ็บคอหรือท้องเสียให้แจ้งล่วงหน้าก่อนอย่างน้อย 2 วันก่อนทำหัตถการ เพราะหากร่างกายไม่แข็งแรงจะเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย สวมเสื้อผ้าสบายๆหรือสวมเสื้อเชิ๊ตกระดุมหน้ามาในวันผ่าตัด เพื่อลดความเสี่ยงในการเสียดสีกับแผล และทำให้สามารถดูแลแผลหลังผ่าตัดได้สะดวก
7. จำเป็นต้องงดน้ำและอาหาร 4-6 ชั่วโมงก่อนผ่าตัด เพื่อป้องกันภาวะการสำลักอาหารโดยไม่รู้ตัวในขณะผ่าตัด ซึ่งอันตรายมาก
8. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอก่อนวันผ่าตัด
9. แนะนำให้มีผู้ติดตามมาด้วยในวันผ่าตัด
การเตรียมตัวก่อนผ่าตัดสำหรับเคสดมยาสลบ
1.งดวิตามินและอาหารเสริม 2 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด เนื่องจากอาหารเสริมบางตัวทำให้ระบบเลือดไหลเวียนดี อาจทำให้เลือดแข็งตัวช้า และทำให้หลังผ่าตัดจะมีอาการบวมมากกว่าปกติได้
2. งดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ 2 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด เนื่องจากแอลกอฮอล์หรือบุหรี่ทำให้แผลผ่าตัดหายช้า เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นแผลเป็นนูนและยังเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่ายอีกด้วย
3. งดรับประทานยาสเตียรอยด์ หรือยาลดกล้ามเนื้ออักเสบ ยากลุ่มแอสไพริน(Aspirin หรือ Ibuprofen) 2 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด เพื่อลดอาการบวมช้ำหลังผ่าตัด แต่ในกรณีที่จำเป็นต้องใช้ แนะนำให้ทานแค่ยาพาราเซตามอลเพื่อบรรเทาอาการปวดเท่านั้น (หากทานยาละลายลิ่มเลือดหรือยาโรคประจำตัวอยู่ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์)
4. ไม่ควรแต่งหน้า ทาเล็บมือหรือเล็บเท้ามาในวันผ่าตัด เนื่องจากหากฝุ่นผงจากเครื่องสำอางค์อาจตกลงไปในแผลได้ และระหว่างการผ่าตัดทีมแพทย์สามารถสังเกตอาการผิดปกติต่างๆจากริมฝีปาก หรือเล็บมือเล็บเท้าได้ หากแต่งหน้าหรือทาเล็บมาจะทำให้สังเกตอาการผิดปกติต่างๆได้ยากขึ้น
5. ไม่ควรใส่เครื่องประดับ หรือนำของมีค่ามาในวันผ่าตัด เนื่องจากในการผ่าตัดอาจมีการติดตั้งเครื่องมือทางการแพทย์บางประเภทที่ส่งผลให้โลหะทุกชนิดเกิดความร้อนและทำให้ผิวหนังไหม้ได้
6. ในกรณีเป็นไข้ มีอาการไอ เจ็บคอหรือท้องเสียให้แจ้งล่วงหน้าก่อนอย่างน้อย 2 วันก่อนทำหัตถการ เพราะหากร่างกายไม่แข็งแรงจะเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย
สวมเสื้อผ้าสบายๆหรือสวมเสื้อเชิ๊ตกระดุมหน้ามาในวันผ่าตัด เพื่อลดความเสี่ยงในการเสียดสีกับแผล และทำให้สามารถดูแลแผลหลังผ่าตัดได้สะดวก
7. จำเป็นต้องงดน้ำและอาหาร 8-12 ชั่วโมงก่อนผ่าตัด เพื่อป้องกันภาวะการสำลักอาหารโดยไม่รู้ตัวในขณะผ่าตัด ซึ่งอันตรายมาก
8. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอก่อนวันผ่าตัด
9. แนะนำให้มีผู้ติดตามมาด้วยในวันผ่าตัด
การดูแลตัวเองหลังเสริมคาง
1.ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกหลังทำสามารถเกิดอาการบวมได้ ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
2.หากเป็นเทคนิคแผลด้านในปาก แนะนำให้งดแปรงฟันในช่วง 3 วันแรก แนะนำให้บ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปากที่ไม่ผสมแอลกอฮอล์ หรือถ้าหากแปรงฟังแนะนำให้แปรงเบาๆด้วยความระมัดระวังไม่ให้โดนแผล แต่หากเป็นกรณีที่แผลอยู่ด้านนอก สามารถทำความสะอาดแผลวันละ 2 ครั้งเช้าและเย็นจนกว่าจะตัดไหม
3.หากเป็นแผลด้านใน แนะนำให้หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารร้อนจัดหรือเผ็ดจัดในช่วง 7 วันแรก
4.หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหมักดอง อาหารทะเล เพราะอาจทำให้คันบริเวณแผลได้ และอาหารที่มีรสเค็มจัดหรือโซเดียมสูง เพราะอาจทำให้บวมบริเวณแผลที่ผ่าตัดได้
5.รับประทานยาตามที่ศัลยแพทย์สั่งให้ครบ
6.ประคบเย็นในช่วง 7 วันแรกเพื่อช่วยลดบวม
7.นอนหมอนสูงโดยให้หัวสูงกว่าหัวใจ ในช่วง 7 วันแรกเพื่อช่วยลดอาการบวม
8.งดออกกำลังกายในช่วง 1 เดือนหลังผ่าตัด
9.งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 1 เดือนแรกหลังผ่าตัด
การดูแลตัวเองหลังทำ Bullhorn
1.งดล้างหน้าในช่วง 7-14 วันแรกหรือจนกว่าจะตัดไหม แนะนำให้ใช้ทิชชู่เปียกในการทำความสะอาดใบหน้า
2.รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งให้ครบ
3.หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหมักดอง อาหารทะเล เพราะอาจทำให้คันบริเวณแผลได้ และอาหารที่มีรสเค็มจัดหรือโซเดียมสูง เพราะอาจทำให้บวมบริเวณแผลที่ผ่าตัดได้
4.ประคบเย็นบริเวณริมฝีปากในช่วง 7 วันแรก และหลังจากนั้นให้เปลี่ยนเป็นประคบอุ่นแทนหากยังมีอาการช้ำอยู่
5.นอนหมอนสูงโดยให้หัวสูงกว่าหัวใจ แต่ไม่ต้องถึงขนาดนั่งหลับ ถ้ามีหมอนรองคอจะช่วยให้สบายขึ้นมาก
6.ในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรกอาจมีเลือดซึมออกมาบ้างเป็นอาการปกติ ให้ใช้ผ้าก็อซซับออกได้
7.ทำความสะอาดแผลวันละ 2 ครั้งเช้าและเย็นจนกว่าจะตัดไหม
8.งดออกกำลังกายในช่วง 1 เดือนหลังผ่าตัด
9.งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 1 เดือนหลังผ่าตัด
10.อาการบวมช้ำสามารถเกิดขึ้นได้ในช่วงสัปดาห์แรกหลังผ่าตัดแต่จะค่อยๆดีขึ้นใน 4 สัปดาห์และจะเข้าที่ใน 3 เดือน
การดูแลตัวเองหลังทำศัลยกรรมใบหู
1.แนะนำให้รัดผ้ากระชับใบหูตามคำแนะนำของแพทย์อย่างน้อย 2 อาทิตย์ หรือ มากกว่า ควรสวมใส่ให้ได้นานที่สุดเท่าที่สะดวก เช่น ใส่รัดไว้ขณะนอน เป็นต้น
2.งดสระผมในช่วง 2 วันแรกหลังผ่าตัด หรือสระแค่บริเวณปลายผม หลีกเลี่ยงบริเวณไรผมซึ่งเป็นแผลผ่าตัด หลังจากวันที่ 3 เป็นต้นไปสามารถสระผมได้แต่ให้ระมัดระวังในการสัมผัสกับแผล หลังสระผมเช็ดแผลให้แห้งและทำความสะอาดแผลต่อทันที
3.ทำความสะอาดแผลวันละ 2 ครั้งเช้าและเย็นจนกว่าจะตัดไหม
4.หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหมักดอง อาหารทะเล เพราะอาจทำให้คันบริเวณแผลได้ และอาหารที่มีรสเค็มจัดหรือโซเดียมสูง เพราะอาจทำให้บวมบริเวณแผลที่ผ่าตัดได้
5.รับประทานยาตามที่ศัลยแพทย์สั่งให้ครบ
6.งดออกกำลังกายในช่วง 1 เดือนหลังผ่าตัด
7.งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 1 เดือนหลังผ่าตัด
การดูแลตัวเองหลังดูดไขมันหน้า
1.งดล้างหน้าใน 24 ชั่วโมงแรกหลังทำหัตถการ
2.ในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรกอาจมีน้ำเกลือปนเลือดซึมออกมา ควรทำความสะอาดแผลและเปลี่ยนผ้าก๊อซปิดแผลอย่างน้อย 1 ครั้ง จากนั้นปิดแผลด้วยพลาสเตอร์กันน้ำ (โดยแผลสามารถโดนน้ำได้หลังจากตัดไหม)
3.รับประทานยาตามศัลยแพทย์สั่งให้ครบถ้วน
4.งดออกกำลังกายในช่วง 1 เดือนหลังผ่าตัด
5.งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 1 เดือนหลังผ่าตัด
6.หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหมักดอง อาหารทะเล เพราะอาจทำให้คันบริเวณแผลได้ และอาหารที่มีรสเค็มจัดหรือโซเดียมสูง เพราะอาจทำให้บวมบริเวณแผลที่ผ่าตัดได้
7.ใส่ผ้ารัดหน้าบริเวณที่ดูดไขมันตลอดเวลาในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรก หลังจากนั้นให้เปลี่ยนใส่ชุดกระชับหลังดูดไขมันให้ได้อย่างน้อย 12 ชั่วโมงต่อวันในช่วง 1-3 เดือนแรก เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
8.อาการบวมช้ำสามารถเกิดขึ้นได้ในช่วงสัปดาห์แรกหลังผ่าตัดแต่จะค่อยๆดีขึ้นใน 4 สัปดาห์และจะเข้าที่ใน 3 เดือน
9.ในช่วง1-3เดือนแรกหลังทำ อาจพบว่าผิดเป็นคลื่นไม่เรียหรือเป็นก้อนไตแข็งๆได้ หรือมีอาการเจ็บจี้ดๆเกิดขึ้นได้เป็นอาการปกติจะค่อยๆดีขึ้นภายใน 4-6 เดือน
10.หลังจากดูดไขมันแล้ว หากต้องการให้เห็นผลลัพธ์ได้เร็วขึ้นแนะนำให้มีการนวดกระชับด้วย คลื่นพลัง RF เพื่อเป็นการกระชับผิวได้เร็วยิ่งขึ้น
การดูแลตัวเองหลังดูดไขมันตัว
1.งดอาบน้ำใน 24 ชั่วโมงแรกหลังทำหัตถการ
2.ในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรกอาจมีน้ำเกลือปนเลือดซึมออกมา ควรทำความสะอาดแผลและเปลี่ยนผ้าก๊อซปิดแผลอย่างน้อย 1 ครั้ง จากนั้นปิดแผลด้วยพลาสเตอร์กันน้ำ (โดยแผลสามารถโดนน้ำได้หลังจากตัดไหม)
3.รับประทานยาตามศัลยแพทย์สั่งให้ครบถ้วน
4.งดออกกำลังกายในช่วง 1 เดือนหลังผ่าตัด
5.งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 1 เดือนหลังผ่าตัด
6.หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหมักดอง อาหารทะเล เพราะอาจทำให้คันบริเวณแผลได้ และอาหารที่มีรสเค็มจัดหรือโซเดียมสูง เพราะอาจทำให้บวมบริเวณแผลที่ผ่าตัดได้
7.ใส่ผ้ารัดบริเวณที่ดูดไขมันตลอดเวลาในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรก หลังจากนั้นให้เปลี่ยนใส่ชุดกระชับหลังดูดไขมันให้ได้อย่างน้อย 12 ชั่วโมงต่อวันในช่วง 1-3 เดือนแรก เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
8.อาการบวมช้ำสามารถเกิดขึ้นได้ในช่วงสัปดาห์แรกหลังผ่าตัดแต่จะค่อยๆดีขึ้นใน 4 สัปดาห์และจะเข้าที่ใน 3 เดือน
9.ในช่วง1-3เดือนแรกหลังทำ อาจพบว่าผิดเป็นคลื่นไม่เรียหรือเป็นก้อนไตแข็งๆได้ หรือมีอาการเจ็บจี้ดๆเกิดขึ้นได้เป็นอาการปกติจะค่อยๆดีขึ้นภายใน 4-6 เดือน
10.หลังจากดูดไขมันแล้ว หากต้องการให้เห็นผลลัพธ์ได้เร็วขึ้นแนะนำให้มีการนวดกระชับด้วย คลื่นพลัง RF เพื่อเป็นการกระชับผิวได้เร็วยิ่งขึ้น
การดูแลตัวเองหลังทำจมูก Close Rhinoplasty
1.งดล้างหน้าในช่วง 7-14 วันแรกหรือจนกว่าจะตัดไหม แนะนำให้ใช้ทิชชู่เปียกในการทำความสะอาดใบหน้า
2.รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งให้ครบ
3.หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหมักดอง อาหารทะเล เพราะอาจทำให้คันบริเวณแผลได้ และอาหารที่มีรสเค็มจัดหรือโซเดียมสูง เพราะอาจทำให้บวมบริเวณแผลที่ผ่าตัดได้
4.ประคบเย็นบริเวณหน้าผากและข้างแก้มในช่วง 7 วันแรก และหลังจากนั้นให้เปลี่ยนเป็นประคบอุ่นแทนหากยังมีอาการช้ำอยู่
5.นอนหมอนสูงโดยให้หัวสูงกว่าหัวใจ แต่ไม่ต้องถึงขนาดนั่งหลับ ถ้ามีหมอนรองคอจะช่วยให้สบายขึ้นมาก
6.ในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรกอาจมีเลือดซึมออกมาบ้างเป็นอาการปกติ ให้ใช้ผ้าก็อซซับออกได้
7.ทำความสะอาดแผลวันละ 2 ครั้งเช้าและเย็นจนกว่าจะตัดไหม
8.งดออกกำลังกายในช่วง 1 เดือนหลังผ่าตัด
9.งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 1 เดือนหลังผ่าตัด
10.หลีกเลี่ยงการก้มหน้านานๆ การเม้มปาก หรือขมวดคิ้วในช่วง 3 เดือนแรก
11.อาการบวมช้ำสามารถเกิดขึ้นได้ในช่วงสัปดาห์แรกหลังผ่าตัดแต่จะค่อยๆดีขึ้นใน 4 สัปดาห์และจะเข้าที่ใน 3 เดือน
การดูแลตัวเองหลังทำจมูก Open Rhinoplasty
1.งดล้างหน้าในช่วง 7-14 วันแรกหรือจนกว่าจะตัดไหม แนะนำให้ใช้ทิชชู่เปียกในการทำความสะอาดใบหน้า
2.มีอาการคัดจมูกหรือมีน้ำมูกใสๆ สามารถเกิดขึ้นได้และจะหายดีในช่วง 1-3 เดือนขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
3.รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งให้ครบ
4.หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหมักดอง อาหารทะเล เพราะอาจทำให้คันบริเวณแผลได้ และอาหารที่มีรสเค็มจัดหรือโซเดียมสูง เพราะอาจทำให้บวมบริเวณแผลที่ผ่าตัดได้
5.ประคบเย็นบริเวณหน้าผากและข้างแก้มในช่วง 7 วันแรก และหลังจากนั้นให้เปลี่ยนเป็นประคบอุ่นแทนหากยังมีอาการช้ำอยู่
6.นอนหมอนสูงโดยให้หัวสูงกว่าหัวใจ ในช่วง 7 วันแรกหลังผ่าตัด แต่ไม่ต้องถึงขนาดนั่งหลับ ถ้ามีหมอนรองคอจะช่วยให้สบายขึ้นมาก
7.ในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรกอาจมีเลือดซึมออกมาบ้างเป็นอาการปกติ ให้ใช้ผ้าก็อซซับออกได้
8.ทำความสะอาดแผลวันละ 2 ครั้งเช้าและเย็นจนกว่าจะตัดไหม
9.งดออกกำลังกายในช่วง 1 เดือนหลังผ่าตัด
10.งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 1 เดือนหลังผ่าตัด
11.หลีกเลี่ยงการก้มหน้านานๆ การเม้มปาก ในช่วง 3 เดือนแรก
12.อาการบวมช้ำสามารถเกิดขึ้นได้ในช่วงสัปดาห์แรกหลังผ่าตัดแต่จะค่อยๆดีขึ้นใน 4 สัปดาห์และจะเข้าที่ใน 3 เดือน
การดูแลตัวเองหลังทำศัลยกรรมยกคิ้ว
1.ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกหลังทำสามารถเกิดอาการบวมช้ำได้ หรืออาจมีอาการตึง ชาและปวดบริเวณหน้าผากได้เป็นปกติ หรือในบางคนอาจมีอาการคันยิบๆบริเวณหน้าผากและศรีษะเป็นอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้ แต่จะค่อยๆดีขึ้นใน 4 สัปดาห์ และเข้าที่ประมาณ 3 เดือน
2.ช่วง 1 เดือนแรกหลังทำอาจมีอาการตาแห้งหรือหลับตาไม่สนิทได้ เนื่องจากอาการบวม แต่จะค่อยๆดีขึ้นใน 4 สัปดาห์
3.งดสระผมในช่วง 2 วันแรกหลังผ่าตัด หรือสระแค่บริเวณปลายผม หลีกเลี่ยงบริเวณไรผมซึ่งเป็นแผลผ่าตัด หลังจากวันที่ 3 เป็นต้นไปสามารถสระผมได้แต่ให้ระมัดระวังในการสัมผัสกับแผล หลังสระผมเช็ดแผลให้แห้งและทำความสะอาดแผลต่อทันที
4.ทำความสะอาดแผลวันละ 2 ครั้งเช้าและเย็นจนกว่าจะตัดไหม
5.หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหมักดอง อาหารทะเล เพราะอาจทำให้คันบริเวณแผลได้ และอาหารที่มีรสเค็มจัดหรือโซเดียมสูง เพราะอาจทำให้บวมบริเวณแผลที่ผ่าตัดได้
6.รับประทานยาตามที่ศัลยแพทย์สั่งให้ครบ
7.ประคบเย็น 7 วันแรก และหลังจากนั้นให้เปลี่ยนเป็นประคบอุ่นแทนหากยังมีอาการช้ำอยู่
8.นอนหมอนสูงโดยให้หัวสูงกว่าหัวใจ
9.งดออกกำลังกายในช่วง 1 เดือนหลังผ่าตัด
10.งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 1 เดือนหลังผ่าตัด
การดูแลตัวเองหลังทำศัลยกรรมเสริมหน้าผากซิลิโคน
1.ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกหลังทำสามารถเกิดอาการบวมช้ำได้ หรืออาจมีอาการตึง ชาและปวดบริเวณหน้าผากได้เป็นปกติ จะค่อยๆดีขึ้นใน 4 สัปดาห์ และเข้าที่ประมาณ 3 เดือน
2.งดสระผมในช่วง 2 วันแรกหลังผ่าตัด หรือสระแค่บริเวณปลายผม หลีกเลี่ยงบริเวณไรผมซึ่งเป็นแผลผ่าตัด หลังจากวันที่ 3 เป็นต้นไปสามารถสระผมได้แต่ให้ระมัดระวังในการสัมผัสกับแผล หลังสระผมเช็ดแผลให้แห้งและทำความสะอาดแผลต่อทันที
3.ทำความสะอาดแผลวันละ 2 ครั้งเช้าและเย็นจนกว่าจะตัดไหม
4.หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหมักดอง อาหารทะเล เพราะอาจทำให้คันบริเวณแผลได้ และอาหารที่มีรสเค็มจัดหรือโซเดียมสูง เพราะอาจทำให้บวมบริเวณแผลที่ผ่าตัดได้
5.รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งให้ครบ
6.ประคบเย็น 7 วันแรก และหลังจากนั้นให้เปลี่ยนเป็นประคบอุ่นแทนหากยังมีอาการช้ำอยู่
7.นอนหมอนสูงโดยให้หัวสูงกว่าหัวใจ
8.งดออกกำลังกายในช่วง 1 เดือนหลังผ่าตัด
9.งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 1 เดือนหลังผ่าตัด
การดูแลหลังตัดไขมันกระพุ้งแก้ม
1.ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกหลังทำสามารถเกิดอาการบวมได้ ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
2.งดแปรงฟันในช่วง 3 วันแรก แนะนำให้บ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปากที่ไม่ผสมแอลกอฮอล์ หรือถ้าหากแปรงฟังแนะนำให้แปรงเบาๆด้วยความระมัดระวังไม่ให้โดนแผล
3.หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารร้อนจัดหรือเผ็ดจัดในช่วง 7 วันแรก
4.หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหมักดอง อาหารทะเล เพราะอาจทำให้คันบริเวณแผลได้ และอาหารที่มีรสเค็มจัดหรือโซเดียมสูง เพราะอาจทำให้บวมบริเวณแผลที่ผ่าตัดได้
5.รับประทานยาตามที่ศัลยแพทย์สั่งให้ครบ
6.ประคบเย็นในช่วง 7 วันแรกหรืออมน้ำแข็งที่สะอาดในช่วง 3 วันแรก เพื่อช่วยลดบวม
7.นอนหมอนสูงโดยให้หัวสูงกว่าหัวใจ ในช่วง 7 วันแรกเพื่อช่วยลดอาการบวม
8.งดออกกำลังกายในช่วง 1 เดือนหลังผ่าตัด
9.งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 1 เดือนแรกหลังผ่าตัด
การดูแลหลังทำ Fat Transfer
1.งดอาบน้ำหรือล้างหน้าใน 24 ชั่วโมงแรกหลังทำหัตถการ จากนั้นสามารถทำความสะอาดแผลได้
2.อาการบวมช้ำสามารถเกิดขึ้นได้ในช่วงสัปดาห์แรกหลังผ่าตัด หากเติมไขมันบริเวณใบหน้าแนะนำให้นอนหมอนสูงในช่วง 3 วันแรก ซึ่งอาการบวมช้ำจะค่อยๆดีขึ้นใน 4 สัปดาห์และจะเข้าที่ใน 3 เดือน
3.หลังฉีดในช่วง 24 ชั่วโมงแรกอาจมีอาการตึงๆบริเวณที่ฉีดได้ หรือมีรอยเข็มบริเวณที่ฉีดได้ แต่จะค่อยๆดีขึ้นภายใน 2-3 วัน
4.หลีกเลี่ยงการประคบอุ่น อาบน้ำอุ่น อบไอน้ำ อบซาวน่า หรือทำ Laser ทุกประเภทในช่วง 1 เดือนแรก
5.รับประทานยาตามแพทย์สั่งให้ครบถ้วน
6.งดออกกำลังกายในช่วง 1 เดือนหลังผ่าตัด
7.งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 1 เดือนหลังผ่าตัด
8.หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหมักดอง อาหารทะเล เพราะอาจทำให้คันบริเวณแผลได้ และอาหารที่มีรสเค็มจัดหรือโซเดียมสูง เพราะอาจทำให้บวมบริเวณแผลที่ผ่าตัดได้
9.สามารถแต่งหน้าหรือทาครีมได้ในวันที่ 3 หลังผ่าตัด
10.หลังทำหากพบว่าผิวหนังบริเวณที่ฉีดเซลล์ไขมันมีอาการผิดปกติเกิดขึ้นเกินหนึ่งสัปดาห์ควรรีบเข้ามาพบแพทย์โดยทันที
การดูแลตัวเองหลังทำตา
1.งดล้างหน้าและงดแต่งหน้าในช่วง 7-14 วันหรือจนกว่าจะตัดไหม แนะนำให้ใช้ทิชชู่เปียกในการทำความสะอาดใบหน้า
2.หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหมักดอง อาหารทะเล เพราะอาจทำให้คันบริเวณแผลได้ และอาหารที่มีรสเค็มจัดหรือโซเดียมสูง เพราะอาจทำให้บวมบริเวณแผลที่ผ่าตัดได้
3.รับประทานยาตามที่ศัลยแพทย์สั่งให้ครบ
4.ประคบเย็น 7 วันแรก และหลังจากนั้นให้เปลี่ยนเป็นประคบอุ่นแทนหากยังมีอาการช้ำอยู่
5.นอนหมอนสูงโดยให้หัวสูงกว่าหัวใจ เพื่อช่วยลดบวมในช่วง 7 วันแรก
6.ทำความสะอาดแผลวันละ 2 ครั้งเช้าและเย็นจนกว่าจะตัดไหม
7.งดออกกำลังกายในช่วง 1 เดือนหลังผ่าตัด
8.งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 1 เดือนหลังผ่าตัด
9.อาการบวมช้ำสามารถเกิดขึ้นได้ในช่วงสัปดาห์แรกหลังผ่าตัดแต่จะค่อยๆดีขึ้นใน 4 สัปดาห์และจะเข้าที่ใน 3 เดือน
การดูแลหลังทำปากกระจับหรือปากบาง
1.ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกหลังทำสามารถเกิดอาการบวมได้ ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
2.งดแปรงฟันในช่วง 3 วันแรก แนะนำให้บ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปากที่ไม่ผสมแอลกอฮอล์ หรือถ้าหากแปรงฟังแนะนำให้แปรงเบาๆด้วยความระมัดระวังไม่ให้โดนแผล
3.งดทาปากด้วยวาสลีน ลิปสติก ลิปมัน ขี้ผึ้ง หรือครีมบำรุงริมฝีปากทุกประเภทในช่วง 2 สัปดาห์แรก
4.ทำความสะอาดแผล ด้วยไม้พันสำลีชุบน้ำเกลือ เช็ดบริเวณแผลอย่างน้อยวันละ 2 ครั้งเช้าเย็น อาจมี
5.หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารร้อนจัดหรือเผ็ดจัดในช่วง 7 วันแรก
6.หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหมักดอง อาหารทะเล เพราะอาจทำให้คันบริเวณแผลได้ และอาหารที่มีรสเค็มจัดหรือโซเดียมสูง เพราะอาจทำให้บวมบริเวณแผลที่ผ่าตัดได้
7.รับประทานยาตามที่ศัลยแพทย์สั่งให้ครบ
8.ประคบเย็นในช่วง 7 วันแรกเพื่อลดบวม และแนะนำให้นอนหมอนสูงในช่วง 7 วันแรกเพื่อช่วยลดบวม
9.อาการก้อนไตแข็งบริเวณริมฝีปากสามารถเกิดขึ้นได้ในช่วง 1-3 เดือนแรก สามารถนวดเบาๆบริเวณปากได้ จะช่วยให้ก้อนไตนิ่มลงได้เร็วยิ่งขึ้น
10.งดออกกำลังกายในช่วง 1 เดือนหลังผ่าตัด
11.งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 1 เดือนแรกหลังผ่าตัด
การดูแลหลังทำศัลยกรรมลดขนาดโหนกแก้มและตัดกราม
1.ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกหลังทำสามารถเกิดอาการบวมช้ำได้ หรืออาจมีอาการตึง ชาและปวดบริเวณใบหน้าส่วนกลางและส่วนล่างได้เป็นปกติ จะค่อยๆดีขึ้นใน 4 สัปดาห์ และเข้าที่ประมาณ 3 เดือน
2.งดแปรงฟันในช่วง 3 วันแรก แนะนำให้บ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปากที่ไม่ผสมแอลกอฮอล์ หรือถ้าหากแปรงฟังแนะนำให้แปรงเบาๆด้วยความระมัดระวังไม่ให้โดนแผล
3.รับประทานอาหารอ่อน หลีกเลี่ยงการใช้แรงในการเคี้ยวในช่วง 1 เดือนแรก
4.หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหมักดอง อาหารทะเล เพราะอาจทำให้คันบริเวณแผลได้ และอาหารที่มีรสเค็มจัดหรือโซเดียมสูง เพราะอาจทำให้บวมบริเวณแผลที่ผ่าตัดได้
5.รับประทานยาตามที่ศัลยแพทย์สั่งให้ครบ
6.ประคบเย็น 7 วันแรก และหลังจากนั้นให้เปลี่ยนเป็นประคบอุ่นแทนหากยังมีอาการช้ำอยู่
7.ในช่วง 1 สัปดาห์แรกแนะนำให้นอนหมอนสูงโดยให้หัวสูงกว่าหัวใจ เพื่อช่วยลดบวม
8.งดออกกำลังกายในช่วง 1 เดือนหลังผ่าตัด
9.งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 1 เดือนหลังผ่าตัด
การดูแลตัวเองหลังทำศัลยกรรมตัดหนังหน้าท้อง
1.หลังผ่าตัดหนังหน้าท้อง ต้องพักฟื้นที่โรงพยาบาลอย่างน้อย 2-3 วัน
2.ในช่วงสัปดาห์แรกหลังผ่าตัด อาจมีความรู้สึกตึง แนะนำให้นอนงอตัว หรือเดินแบบงอตัวก่อนในช่วงแรก ซึ่งจะดีขึ้นใน 2 สัปดาห์ จากนั้นจะสามารถเดินตัวตรงได้
3.ในช่วง 1 สัปดาห์แรกพยายามไอ จาม หรือหัวเราะให้น้อยที่สุดเพื่อลดการเกร็งของกล้ามเนื้อหน้าท้อง
4.อาการบวมช้ำ หรืออาการชาบริเวณหน้าท้องสามารถเกิดขึ้นได้ และจะค่อยๆดีขึ้นภายใน 3 เดือน
5.หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้ท้องผูก แนะนำให้ทานอาหารที่ย่อยง่ายหรือไฟเบอร์สูง
6.แนะนำสวมชุดซัพพอร์ตรัดหน้าท้องในช่วง 3 เดือนแรกเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
7.งดออกกำลังกายในช่วง 1 เดือนหลังผ่าตัด
8.หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหมักดอง อาหารทะเล เพราะอาจทำให้คันบริเวณแผลได้ และอาหารที่มีรสเค็มจัดหรือโซเดียมสูง เพราะอาจทำให้บวมบริเวณแผลที่ผ่าตัดได้
9.รับประทานยาตามที่ศัลยแพทย์สั่งให้ครบ
10.งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 1 เดือนหลังผ่าตัด
11.หลีกเลี่ยงไม่ให้แผลโดนน้ำในช่วง 7-14 วันหรือจนกว่าจะตัดไหม แนะนำให้ทำความสะอาดด้วยการเช็ดตัวไปก่อน
12.หลีกเลี่ยงการยกของหนักในช่วง 3 เดือนแรกหลังผ่าตัด เพราะจะทำให้แผลหายช้าลงและมีโอกาสที่แผลจะฉีกหรืออักเสบได้
การดูแลหลังเสริมซิลิโคนสะโพก
1.นอนคว่ำตลอดในช่วง 1 สัปดาห์แรกหลังผ่าตัด จากนั้นให้เปลี่ยนเป็นนอนตะแคงในช่วง 3 เดือนแรก
2.หลีกเลี่ยงการนั่งในช่วง 2 สัปดาห์แรก จากนั้นให้ใช้เบาะรองนั่งในช่วง 3 เดือนแรกหลังผ่าตัด
3.หลีกเลี่ยงไม่ให้แผลโดนน้ำในช่วง 14 วันหรือจนกว่าจะตัดไหม แนะนำให้ใช้ทิชชู่เปียกทำความสะอาด โดยเช็ดจากด้านหลังมาด้านหน้า
4.ทำความสะอาดแผลวันละ 2 ครั้งจนกว่าจะตัดไหม
5.งดออกกำลังกายในช่วง 1 เดือนหลังผ่าตัด
6.หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหมักดอง อาหารทะเล เพราะอาจทำให้คันบริเวณแผลได้ และอาหารที่มีรสเค็มจัดหรือโซเดียมสูง เพราะอาจทำให้บวมบริเวณแผลที่ผ่าตัดได้
7.รับประทานยาตามที่ศัลยแพทย์สั่งให้ครบ
8.งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 1 เดือนหลังผ่าตัด
9.ใส่ซัพพอร์ตรัดไว้ตลอดเวลาในช่วง 1 สัปดาห์แรก
10.หลังผ่าตัดควรหลีกเลี่ยงการฉีดยาเข้าบริเวณสะโพก-ก้น เนื่องจากมีถุงซิลิโคนอยู่บริเวณดังกล่าว
การดูแลหลังศัลยกรรมยกกระชับหน้าอก/ลดขนาดหน้าอก
1.ในช่วงสัปดาห์แรกหลังผ่าตัด อาจมีความรู้สึกแน่นตึง ซึ่งจะดีขึ้นใน 2 สัปดาห์
ในกรณีที่ทำการยกกระชับหน้าอกหรือลดขนาดหน้าอก หลังทำในช่วงแรกบริเวณรอบปานนมจะมีผิวหนัง เป็นจีบ อยู่ประมาณ 2-3เดือนหลังจากนั้น จะค่อยๆดีขึ้น
2.แนะนำให้นอนหมอนสูงในช่วงหนึ่งสัปดาห์แรกหลังผ่าตัด และในช่วง 3 เดือนแรกแนะนำให้นอนหงายห้ามนอนตะแคงหรือนอนคว่ำเพราะอาจทำให้ หน้าอกผิดรูปทรงได้
3.งดออกกำลังกายในช่วง 1 เดือนหลังผ่าตัด
4.หลีกเลี่ยงการนวดเค้นบริเวณหน้าอกอย่างรุนแรง เพื่อลดอาการอักเสบหรือภาวะเลือดออกภายในได้ การกดหรือนวดบริเวณเต้านมหรือไม่จะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ในแต่ละท่าน
5.หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหมักดอง อาหารทะเล เพราะอาจทำให้คันบริเวณแผลได้ และอาหารที่มีรสเค็มจัดหรือโซเดียมสูง เพราะอาจทำให้บวมบริเวณแผลที่ผ่าตัดได้
6.รับประทานยาตามที่ศัลยแพทย์สั่งให้ครบ
7.งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 1 เดือนหลังผ่าตัด
8.หลีกเลี่ยงไม่ให้แผลโดนน้ำในช่วง 7-14 วันหรือจนกว่าจะตัดไหม แนะนำให้เช็ดตัวหรืออาบน้ำแค่บริเวณช่วงล่างลำตัว
9.หลีกเลี่ยงการยกของหนัก ยกแขนสูงหรือขับรถในช่วง 2-4 สัปดาห์แรกหลังผ่าตัด เพราะจะทำให้แผลหายช้าลงและมีโอกาสที่แผลจะฉีกหรืออักเสบได้
10.ควรสวมเสื้อชั้นในแบบ Support Bra ในช่วง 1 เดือนแรก จากนั้นเปลี่ยนมาใส่ Sport Bra หรือเสื้อชั้นในแบบไม่มีโครง อีกประมาณ 2 เดือน จึงเปลี่ยนมาใส่เสื้อชั้นในแบบปกติได้ แนะนำให้งดใส่เสื้อชั้นในแบบมีโครง
การดูแลหลังศัลยกรรมเสริมหน้าอก
1.ในช่วงสัปดาห์แรกหลังผ่าตัด อาจมีความรู้สึกแน่นตึง ซึ่งจะดีขึ้นใน 2 สัปดาห์
2.แนะนำให้นอนหมอนสูงในช่วงหนึ่งสัปดาห์แรกหลังผ่าตัด และในช่วง 3 เดือนแรกแนะนำให้นอนหงายห้ามนอนตะแคงหรือนอนคว่ำเพราะอาจทำให้หน้าอกผิดรูปทรงได้
3.งดออกกำลังกายในช่วง 1 เดือนหลังผ่าตัด
4.หลีกเลี่ยงการนวดเค้นบริเวณหน้าอกอย่างรุนแรง เพื่อลดอาการอักเสบหรือภาวะเลือดออกภายในได้ การกดหรือนวดบริเวณเต้านมหรือไม่จะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ในแต่ละท่าน
5.หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหมักดอง อาหารทะเล เพราะอาจทำให้คันบริเวณแผลได้ และอาหารที่มีรสเค็มจัดหรือโซเดียมสูง เพราะอาจทำให้บวมบริเวณแผลที่ผ่าตัดได้
6.รับประทานยาตามที่ศัลยแพทย์สั่งให้ครบ
7.งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 1 เดือนหลังผ่าตัด
8.หลีกเลี่ยงไม่ให้แผลโดนน้ำในช่วง 7-14 วันหรือจนกว่าจะตัดไหม แนะนำให้เช็ดตัวหรืออาบน้ำแค่บริเวณช่วงล่างลำตัว
9.หลีกเลี่ยงการยกของหนัก ยกแขนสูงหรือขับรถในช่วง 2-4 สัปดาห์แรกหลังผ่าตัด เพราะจะทำให้แผลหายช้าลงและมีโอกาสที่แผลจะฉีกหรืออักเสบได้
10.ควรสวมเสื้อชั้นในแบบ Support Bra ในช่วง 1 เดือนแรก จากนั้นเปลี่ยนมาใส่ Sport Bra หรือเสื้อชั้นในแบบไม่มีโครง อีกประมาณ 2 เดือน จึงเปลี่ยนมาใส่เสื้อชั้นในแบบปกติได้ แนะนำให้งดใส่เสื้อชั้นในแบบมีโครง