อาการของ Carpal Tunnel Syndrome
1.ชา เป็นเหน็บ และปวดแสบปวดร้อนบริเวณฝ่ามือกับนิ้วมือโดยเฉพาะนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ และอาจรู้สึกเหมือนถูกไฟช็อตที่นิ้วโป้ง นิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนางเป็นบางครั้ง โดยไม่มีอาการดังกล่าวที่นิ้วก้อย ซึ่งหากพบความผิดปกติที่นิ้วก้อย ควรไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยสาเหตุซึ่งอาจเกิดจากโรคอื่น
2.ปวดหรือเป็นเหน็บไล่จากปลายแขนไปยังหัวไหล่
3.ไม่สามารถใช้มือได้ตามปกติในชีวิตประจำวัน เช่น ติดกระดุมไม่ได้ หรือทำสิ่งของหลุดมือ
อาการของ Carpal Tunnel Syndrome มักเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป อาจแสดงอาการเพียงชั่วคราวในช่วงแรก และกำเริบบ่อยขึ้นหรือมีอาการนานมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยผู้ป่วยมักเริ่มมีอาการตอนกลางคืนหรือหลังตื่นนอน ซึ่งมักรู้สึกดีขึ้นเมื่อได้ขยับหรือสะบัดมือ และมีอาการชัดเจนมากขึ้นหลังจากทำงานที่ต้องเคลื่อนไหวข้อมือหรือใช้ข้อมือหยิบจับและถือสิ่งของเป็นเวลานาน เช่น ทำงานบ้าน ซักผ้า บิดผ้า หั่นเนื้อสัตว์ ตำน้ำพริก ใช้โทรศัพท์ อ่านหนังสือ จับพวงมาลัยขณะขับรถ ขี่รถจักรยานยนต์ เป็นต้น รวมทั้งอาจมีอาการต่าง ๆ ขณะนอนหลับได้ด้วย เพราะข้อมือบิด เกร็ง หรืออาจนอนทับข้อมือ
Carpal Tunnel Syndrome เกิดจากเส้นประสาทมีเดียนถูกบีบอัดหรือกดทับบริเวณข้อมือ ซึ่งอาจมีปัจจัยต่าง ๆ ที่เป็นสาเหตุ ดังนี้
แพทย์มักวินิจฉัย Carpal Tunnel Syndrome จากการซักประวัติผู้ป่วยร่วมกับการตรวจร่างกาย และอาจตรวจด้วยวิธีอื่น ๆ ตามดุลยพินิจของแพทย์ ดังนี้
เมื่อเริ่มรู้สึกชา ปวด หรือไม่สามารถใช้งานมือและข้อมือได้ตามปกติ ผู้ป่วยต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน และเข้ารับการรักษาโดยแพทย์ทันที เพื่อไม่ให้เส้นประสาทมีเดียนเสียหายมากยิ่งขึ้น โดยมีวิธีการรักษา Carpal Tunnel Syndrome ดังนี้
หากการรักษาเบื้องต้นไม่ได้ผลหรือผู้ป่วยมีอาการรุนแรง ผู้ป่วยอาจต้องเข้ารับการผ่าตัดเพื่อลดแรงกดที่เส้นประสาทมีเดียน ซึ่งแพทย์มักแนะนำให้ผู้ป่วยเข้ารับการผ่าตัดเอ็นยึดข้อมือ เพื่อขยายขนาดช่องข้อมือ ซึ่งช่วยลดแรงกดบริเวณเส้นประสาทมีเดียน โดยศัลยแพทย์อาจให้ยาสลบหรือยาชาเฉพาะที่ และยาระงับอาการปวดปริมาณเล็กน้อยทางหลอดเลือดดำ โดยการผ่าตัดเอ็นยึดข้อมือมี 2 วิธี ดังนี้
หลังการผ่าตัด ช่วงแรกผู้ป่วยควรยกมือขึ้นให้อยู่เหนือระดับหัวใจ และขยับมือเพื่อลดอาการบวมและตึง ใส่เฝือกหรืออุปกรณ์พยุงข้อมือ และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น หลีกเลี่ยงการขับรถ ไม่หยิบจับสิ่งของที่มีน้ำหนักมาก เป็นต้น เพื่อช่วยให้การรักษาได้ผลดียิ่งขึ้นจนกว่าจะหายเป็นปกติ ซึ่งอาจใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือน อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยบางรายอาจใช้เวลานานกว่า 6-12 เดือนในการฟื้นตัวและหายเป็นปกติ ซึ่งระหว่างนี้ผู้ป่วยอาจรู้สึกชาและอ่อนแรงเล็กน้อยบริเวณมือและข้อมือ
Don’t miss our future updates! Get Subscribed Today!
©2019. Elements Kit. All Rights Reserved.
©2022. Kongjuclinic . All Rights Reserved.