โปรแกรมฉีดสลายไขมัน Meso Fat

     Meso Fat เป็นวิธีการสลายไขมันสะสมเฉพาะจุดโดยการอืดตัวยาเข้าไปยังชั้นไขมันบริเวณที่ต้องการลดไขมันเพื่อให้ตัวยาออกฤทธิ์ลดการสังเคราะห์กรดไขมันหยุดการทํางานของเซลล์ไขมันหรือปรับขนาดของเซลล์ไขมัน ให้เล็กลงแล้วให้ระบบขับถ่ายตามธรรมชาติภายในร่างกายขับออกไปในรูปของเสียไม่ว่าจะเป็นเหงื่อปัสสาวะอุจจาระ

  1. แอลคาร์นิทีน (L-Carnitine) มีคุณสมบัติช่วยเปลี่ยนเซลล์ไขมันให้กลายเป็นพลังงาน รวมถึงสลายไขมันส่วนเกินใต้ผิวหนัง
  2. เมโสสตาบิล (Mesostabyl) ลดการเกิดเซลล์ไขมันใหม่และคอเลสเตอรอลในชั้นเนื้อเยื่อ
  3. ไทโรซีน (Tyrosine) เร่งการเผาผลาญไขมันของร่างกายให้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น
  4. สารสกัดอาร์ติโชค (Artichoke extract) ลดการสร้างกรดไขมันและระดับไขมันแบบเฉพาะจุด

     นอกจากยาทั้งสี่ตัวนี้ แพทย์ในบางสถานพยาบาลยังนิยมใช้ยากลุ่มอื่นๆ เช่น ยาฟอสฟาทิดิลโคลีน (Phosphatidylcholine) สารดีออกซีโคเลท (Deoxycholate) ยาเด็กซ์แพนทีนอล (Dexpanthenol) ซึ่งสกัดมาจากสารอาหารที่มีประโยชน์ในไข่แดงและถั่วเหลือง รวมถึงวิตามินอื่นๆ ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดไขมันได้แบบเฉพาะจุด ในการฉีดเมโสแฟตให้กับผู้เข้ารับบริการด้วย และยังเห็นผลลัพธ์ได้ชัด มีความปลอดภัยสูง

     หลังจากฉีดเมโสแฟตไปยังบริเวณที่มีไขมันส่วนเกินเรียบร้อยแล้ว โครงสร้างผิวบริเวณดังกล่าวก็ค่อยๆ ลดขนาดลง ดูเรียวกระชับมากขึ้น รวมถึงระบบเผาผลาญไขมันภายในร่างกายก็จะทำงานได้อย่างเต็มที่ โดยบริเวณที่ผู้เข้ารับบริการนิยมฉีดเมโสแฟตมากที่สุดจะเป็นบริเวณแก้มและเหนียง เพื่อให้กรอบหน้าดูเรียวเล็ก นอกจากนี้ยังนิยมฉีดบริเวณอื่นๆ ของร่างกายด้วย เช่น ต้นแขน,หน้าท้อง, ต้นขา,น่อง,สะโพก

ฉีดเมโสแฟตแล้ว ไขมันส่วนเกินหายไปไหน?
     เมื่อสารยาเมโสแฟตเข้าไปจับไขมันส่วนเกินภายในร่างกายเรียบร้อยแล้ว ไขมันจะละลายและถูกขับออกไขมันตามกลไกธรรมชาติของร่างกาย เช่น ปัสสาวะ อุจาระ หรือเหงื่อ

ความแตกต่างของการฉีดเมโสแฟต เทียบกับการสลายไขมันด้วยวิธีอื่นๆ
     นอกจากการฉีดเมโสแฟต ยังมีนวัตกรรมและวิธีการสลายไขมันอื่นๆ ที่ถือเป็นคู่แข่งสำคัญของการฉีดเมโสแฟตอีก เช่น

  1. การทำเทอร์มาจ (Thermage) เป็นเทคโนโลยีการยิงพลังงานคลื่นวิทยุ (High Radio Frequency) ลงไปชั้นใต้ผิวหนัง เพื่อสลายเซลล์ไขมันส่วนเกินและแก้ปัญหาความหย่อนยานของผิว ส่งผลให้ผิวแน่นกระชับขึ้น และยังช่วยลบริ้วรอยแห่งวัยที่หย่อนคล้อยให้เลือนจางลงอย่างเห็นได้ชัด เช่น บริเวณหน้าผาก หางคิ้ว ใต้ตา
  2. การทำไฮฟู่ (HIFU) เป็นเทคโนโลยีการยิงพลังงานยื่นอัลตราซาวด์ (Ultrasound) เพื่อลดชั้นไขมันส่วนเกิน พร้อมเสริมโครงสร้างคอลลาเจนผิวให้ยืดหยุ่นและแข็งแรงอีกครั้ง จึงทำให้ผิวที่หย่อนคล้อย ไม่เรียวสวยกลับมาเต่งตึง มีสัดส่วนเล็ก และกระชับขึ้น โดยเครื่องทำไฮฟู่ที่ได้รับความนิยมจนมีชื่อเสียงติดหูในท้องตลาดจะแบ่งเป็น 2 เครื่อง คือ เครื่องอัลตราฟอร์เมอร์ (Ultraformer III) และเครื่องอัลเทอร์รา (Ulthera)
  3. การฉีดโบท็อกซ์ เป็นการฉีดสารที่มีชื่อเต็มว่า “สารโบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ ( Botulinum Toxin Type A) ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยยกกระชับผิวให้ตึงและมีกรอบใบหน้าชัดขึ้น รวมถึงลดขนาดของริ้วรอยแห่ง

      วัย หรือผิวส่วนที่หย่อนคล้อยให้เล็กลง เป็นอีกการทำหัตถการโดยใช้เข็มฉีดยาที่ได้รับความนิยมไม่แพ้การฉีดเมโสแฟต และยังช่วยลดอาการเหงื่อออกผิดปกติตามร่างกายได้เช่นกัน

ในส่วนของความแตกต่างระหว่างการฉีดเมโสแฟตกับการทำหัตถการอื่นๆ เพื่อการลดสัดส่วนไขมันส่วนเกิน การฉีดเมโสแฟตจะเป็นวิธีใช้ “สารยา” เพื่อเร่งกระบวนการต่างๆ ของร่างกายให้นำไขมันส่วนเกินออกไปให้ได้มากที่สุด ในขณะที่วิธีกำจัดไขมันแบบอื่นๆ จะมีกลไกการกำจัดไขมันที่ต่างออกไป โดยแจกแจงได้ดังนี้

  1. การทำเทอร์มาจและการทำไฮฟู่ ใช้วิธีการยิงพลังงานจากเครื่องลงไปใต้ผิวเพื่อสลายเซลล์ไขมันส่วนเกิน แต่เทอร์มาจจะมีจุดเด่นเพิ่มเติมในส่วนของการลบเลือนริ้วรอยแห่งวัยได้ และมีก้อนพลังงานที่ยิงลงไปใหญ่กว่าการทำไฮฟู่ รวมถึงเห็นผลลัพธ์ได้นานถึง 1-2 ปีเลยทีเดียว แต่ก็มีจุดด้อยในส่วนของความเจ็บและค่าใช้จ่าย โดยการทำเทอร์มาจจะมีราคาสูงกว่าและเจ็บกว่า เมื่อเทียบกับการทำไฮฟู่ที่ราคาจะย่อมเยาลงมาและไม่รู้สึกเจ็บมาก
  2. การฉีดโบท็อกซ์ กลไกการทำงานของสารโบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ จะอยู่ที่การกระชับกล้ามเนื้อผิวให้หดเล็กลงมากกว่าการสลายไขมัน ดังนั้นวิธีนี้จึงอาจไม่ช่วยลดสัดส่วนไขมันให้น้อยลงได้ แต่จะช่วยยกกระชับผิวให้ตึงและดูเรียวสวยขึ้นมากกว่า

ฉีดเมโสแฟตควบคู่กับฉีดโบท็อกซ์ได้หรือไม่?
     สามารถทำได้ และยังช่วยให้เห็นผลลัพธ์ได้ชัดขึ้นในบางจุดของร่างกายด้วย เพราะการฉีดโบท็อกซ์มีกลไกการยกกระชับผิวผ่านการลดขนาดกล้ามเนื้อ ในขณะที่การฉีดเมโสแฟตจะเป็นการลดเซลล์ไขมันส่วนเกิน ซึ่งหากทำควบคู่กัน ก็ยิ่งช่วยลดขนาดสัดส่วนที่ผู้เข้ารับบริการอยากได้แก้ไขได้อย่างเห็นผลมากขึ้นไปอีก

ฉีดเมโสแฟตกับการดูดไขมัน ควรเลือกแบบไหนดี?
     การฉีดเมโสแฟตและการดูดไขมันมีกระบวนการที่ค่อนข้างแตกต่างกัน ซึ่งผู้เข้ารับบริการต้องมีการศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบเสียก่อน การฉีดเมโสแฟตจะมีกระบวนการเพียงฉีดสารยาลงไปใต้ผิวไม่ต่างจากการฉีดยาทั่วไป จากนั้นผู้เข้ารับบริการก็สามารถกลับบ้านได้ทันที และมีการดูแลตนเองต่อเพียงเล็กเล็กน้อย เช่น งดอาหารที่มีไขมันสูง งดวิตามินบางกลุ่มชั่วคราว หมั่นออกกำลังกายบ่อยๆ ส่วนผลลัพธ์จะอยู่ได้นานประมาณ 3 เดือน ส่วนการดูดไขมันจะมีกระบวนการคล้ายกับการผ่าตัดเล็กๆ โดยบางสถานพยาบาลจะมีการจ่ายยาแก้ปวด ยาฆ่าเชื้อ หรืออาจให้ยาสลบกับผู้เข้ารับบริการก่อนเริ่มทำหัตถการ วิธีการดูดไขมันจะเป็นการสอดท่อเล็กๆ ลงไปใต้ผิวเพื่อดูดไขมันส่วนเกินออกมา และอาจต้องมีการเย็บแผล รวมทั้งต้องเดินทางมาตรวจความเรียบร้อยของแผลหลังรับบริการเสร็จด้วย ดังนั้นในส่วนของผลกระทบด้านร่างกายหลังจากทำหัตถการเสร็จ เมื่อเทียบกับการฉีดเมโสแฟตแล้ว การดูดไขมันจึงมีโอกาสทำให้รู้สึกเจ็บได้มากกว่า และอาจทำให้เกิดอาการช้ำ บวม หรือผิวหนังอักเสบได้มากกว่า นอกจากนี้ยังต้องใช้เวลาในการพักฟื้นร่างกาย ต้องใส่ปลอกหรือชุดกระชับสัดส่วนตามที่แพทย์แนะนำด้วย ในขณะที่การฉีดเมโสแฟตมักจะมีเพียงอาการผิวบวมแดงบริเวณที่ใช้เข็มฉีดยาประมาณ 1-2 วันเท่านั้น หลังจากนั้นก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ อย่างไรก็ตาม การดูดไขมันก็มีจุดเด่นด้านการดึงเซลล์ไขมันออกไปได้ทันทีและยังทำได้หลายบริเวณของร่างกาย ซึ่งหากไปใช้บริการในสถานพยาบาลที่มีเครื่องมือทันสมัย ได้มาตรฐาน และมีความเชี่ยวชาญ ก็จัดเป็นวิธีการกำจัดไขมันที่น่าสนใจเช่นเดียวกัน

ฉีดเมโสแฟตยี่ห้อไหนดี?
แบรนด์สารเมโสแฟตในปัจจุบันมีอยู่หลายแบรนด์ด้วยกันและมีจุดเด่นแตกต่างกันไป โดยแบรนด์ชั้นนำที่มีแพร่หลายและได้รับความนิยมในสถานพยาบาลหลายแห่งจะได้แก่

  1. ยี่ห้อ fnc30 มีจุดเด่นด้านการลดไขมันที่แก้มได้ดี จึงทำให้โครงหน้าดูเรียวกระชับขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
  2. ยี่ห้อ babi-lone มีจุดเด่นด้านแก้ปัญหาความหย่อนคล้อย โดยเฉพาะบริเวณแก้ม
  3. ยี่ห้อ Mesoestetic มีจุดเด่นด้านการเผาผลาญไขมันส่วนเกินที่สะสมอยู่ใต้ผิว ทำให้สัดส่วนร่างกายไม่ว่าจะเหนียง ต้นแขน สะโพก ต้นขา หรือน่องดูเล็กลง

การเลือกใช้แบรนด์เมโสแฟตในการแก้ปัญหาความงามแต่ละครั้ง จะขึ้นอยู่กับปัญหาด้านไขมันส่วนเกินที่ผู้เข้ารับบริการอยากแก้ไข แต่ไม่ควรเลือกเองตามลำพัง และควรให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ให้คำแนะนำในการเลือกยี่ห้อสารเมโสแฟตอย่างเหมาะสม รวมถึงปริมาณในการฉีดที่ความปลอดภัยของสุขภาพด้วย

ฉีดกี่วันจึงจะเห็นผล? ต้องฉีดบ่อยหรือไม่? และอยู่ได้นานแค่ไหน?
     โดยปกติผู้เข้ารับจะสามารถเริ่มเห็นผลลัพธ์หลังจากฉีดเมโสแฟตไปแล้วตั้งแต่ภายใน 1-2 สัปดาห์แรกหลังรับบริการ แต่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ชัดที่สุดเมื่อครบ 1 เดือน และจะอยู่ได้นานประมาณ 3 เดือน ส่วนความถี่ในการฉีดเมโสแฟตจะขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้เข้ารับบริการแต่ละท่านในการคงความต่อเนื่องของผลลัพธ์เอาไว้ รวมถึงตามคำแนะนำของแพทย์ในการลดขนาดสัดส่วนที่จะแตกต่างกันไปในแต่บุคคลด้วย

ฉีดเมโสแฟตได้ตั้งแต่อายุเท่าไร? เจ็บหรือไม่?
     ผู้ที่ต้องการฉีดเมโสแฟตต้องมีอายุ 20 ขึ้นไปเท่านั้น และเนื่องจากเป็นการทำหัตถการที่ใช้เข็มฉีดยา จึงอาจทำให้รู้สึกเจ็บได้ แต่มักอยู่ในระดับที่ทนได้เช่นเดียวกับการฉีดวัคซีน และอาจมีอาการผิวบวมแดงได้ในช่วง 1-2 วันแรก หลังจากนั้นอาการก็จะค่อยๆ ดีขึ้นเอง อย่างไรก็ตาม ที่กองจูคลินิกจะมีการประคบน้ำแข็งเพื่อให้เกิดความรู้สึกชาชั่วขณะก่อนเริ่มการฉีดเมโสแฟต เพื่อป้องกันอาการเจ็บที่ผู้เข้ารับบริการบางท่านอาจเป็นกังวล

ใครเหมาะกับการฉีดเมโสแฟต?
ผู้ที่เหมาะกับการลดไขมันด้วยการฉีดเมโสแฟต ได้แก่

  1. ผู้ที่มีไขมันส่วนเกินและอยากกำจะจัดออกเฉพาะจุด
  2. ผู้ที่ออกกำลังกายมาอย่างต่อเนื่องแล้ว แต่สัดส่วนไขมันตามร่างกายและใบหน้ายังไม่ลดลง
  3. ผู้ที่ต้องการลดไขมันอย่างเร่งด่วน และมีงบประมาณไม่สูงนัก
  4. ผู้ที่ต้องการลดสัดส่วนไขมันโดยไม่ใช้การผ่าตัดและกังวลเรื่องความเจ็บ

ใครไม่เหมาะกับการฉีดเมโสแฟต
     การฉีดเมโสแฟตเป็นวิธีการกำจัดไขมันส่วนเกินที่สามารถทำได้กับบุคคลทั่วไปทุกกลุ่ม ยกเว้นหญิงตั้งครรภ์และกำลังให้นมบุตร รวมถึงผู้ที่มีปัญหาผิวหนังอักเสบ ผิวหนังติดเชื้อ หรือกำลังเป็นสิวอักเสบอย่างรุนแรง ซึ่งควรรักษาให้หายเสียก่อนรับบริการ

ข้อควรระวังในการไปรับบริการฉีดเมโสแฟต
     เนื่องจากการฉีดเมโสแฟตเป็นการทำหัตถการความงามที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน จึงมีสถานพยาบาลหลายแห่งนำเข้าสารเมโสแฟตปลอมซึ่งมีราคาถูกและไม่ได้มาตรฐานมาใช้ เพื่อดึงดูดลูกค้าที่ต้องการฉีดเมโสแฟตหรือต้องการสลายไขมันในราคาย่อมเยา ซึ่งสารเหล่านี้สามารถส่งผลกระทบที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้เข้ารับบริการได้อย่างมหาศาล ผู้เข้ารับบริการทุกท่านจึงต้องมีการตรวจสอบมาตรฐานและชื่อเสียงของสถานพยาบาลที่ต้องการไปใช้บริการให้แน่ใจเสียก่อน เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาใช้สารเมโสแฟตที่ไม่มีคุณภาพในภายหลัง

ขั้นตอนการฉีดเมโสแฟต
กระบวนการฉีดเมโสแฟตเพื่อลดไขมันส่วนเกินมักมีขั้นตอนโดยหลักๆ ดังต่อไปนี้

  1. ผู้เข้ารับบริการพบแพทย์เพื่อปรึกษาปัญหาไขมันส่วนเกินและปัญหาผิวที่อยากยกกระชับกับแพทย์
  2. แพทย์ประเมินยี่ห้อ ปริมาณ และอาจรวมถึงจำนวนครั้งในการมาฉีดเมโสแฟตให้เห็นผลตามความต้องการของผู้เข้ารับบริการ
  3. เมื่อพูดคุยเกี่ยวกับแผนการกำจัดไขมันเรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่จะพาผู้เข้ารับบริการไปทำความสะอาดผิวบริเวณที่จะฉีดเมโสแฟต และมีการประคบน้ำแข็งเพื่อให้เกิดความรู้สึกชาชั่วขณะ
  4. หลังจากนั้นแพทย์จะเริ่มฉีดเมโสแฟตให้ตามปริมาณที่เหมาะสม โดยส่วนมากมักใช้เวลาไม่เกิน 15 นาที

การดูแลตนเองหลังรับบริการ เพื่อให้เห็นผลของการกำจัดไขมันมากขึ้น

  • ผู้เข้ารับบริการควรงดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ เพื่อลดโอกาสเสื่อมตัวของสารยาเมโสแฟต รวมถึงควรดื่มน้ำให้มากๆ เพื่อเร่งการขับไขมันออกจากร่างกาย
  • นอกจากนี้ยังควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับความร้อน เช่น การอบซาวน่า การแช่น้ำร้อน การทำทรีตเมนต์หรือนวดตัว เป็นเวลา 1 สัปดาห์ เพื่อลดโอกาสเกิดปัญหาฟกช้ำที่ผิว และหากมีอาการแพ้หรือรู้สึกผิดปกติใดๆ ให้ติดต่อแพทย์โดยทันที
  • ส่วนการดูแลตนเองเพิ่มเติม ผู้เข้ารับบริการควรหมั่นออกกำลังกายเบาๆ เพื่อกระตุ้นความกระชับของผิวส่วนที่ฉีดเมโสแฟต ควรหลีกเลี่ยงการกินอาหารที่มีไขมันสูงหรือมีน้ำตาลสูง เพื่อลดโอกาสเกิดเซลล์ไขมันใหม่ และควรพักผ่อนให้เพียงพอทุกคืน เพื่อให้ระบบเผาผลาญและระบบเมตาบอลิซึมของร่างกายซึ่งมีส่วนช่วยกำจัดไขมันทำงานได้อย่างเต็มที่

 

Scroll to Top